พริกลาบยายจี๋
วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ราคาสินค้า
ราคาสินค้าที่ผลิต
ตลับละ 20 บาท
แผงละ 70 บาท(ซื้อ 10แผงขึ้นไป แผงละ60 บาท) (สินค้าขายดี)
กิโลกรัมละ 180 บาท ครึ่งกิโลกรัมละ 90 บาท
สนใจติดต่อสอบถาม คุณธนกฤต มหาวัน ผู้จำหน่ายสินค้าโดยตรง
เบอร์มือถือโทร 0897004210 เบอร์โทรร้านค้า 053721623 ตลอด 24 ชั่วโมง
หมายเหตุ สินค้าสามารถสั่งซื้อ ได้ตลอดเพราะ ผลิตเอง
วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ส่วนประกอบเครื่องเทศพริกลาบ
มะแขว่น เครื่องเทศของชาวเหนือ
พืชเครื่องเทศส่วนใหญ่ ล้วนเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศในเขตร้อน
หลากหลายพืชเครื่องเทศถูกบรรจุลงในอาหารเพื่อปรุงแต่งกลิ่น รส ถนอมรักษา และยังเป็น
ยารักษาสุขภาพ สืบทอดเป็นวัฒนธรรมอาหารที่แตกต่างกันไปตามประเทศ ตามภูมิภาค สืบ
ทอดแก่คนรุ่นหลัง และเกิดการค้าขายแลกเปลี่ยนกันไปทั่วโลกอย่างขาดไม่ได้
มะแขว่น เป็นพืชเครื่องเทศหนึ่งที่พบมากทางภาคเหนือของไทย เป็นพืช
เศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดภาคเหนือหลายจังหวัด ยกตัวอย่างเช่น จังหวัดน่าน ถึงกับมีการ
จัดงานมะแขว่นขึ้นทุกปี มะแข่วนมีความต้องการใช้ในการบริโภคประจำวันโดยเป็น
เครื่องเทศหรือเป็นส่วนประกอบของอาหารพื้นเมืองภาคเหนือหลากหลายชนิด ผลผลิต
มะแขว่น ได้จากทั้งการเก็บจากป่า และการปลูกที่แพร่หลายไปไม่น้อย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zanthoxylum limonella Alston.
ชื่อวงศ์ : RUTACEA
สวนมะแขว่น จังหวัดน่าน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
มะแขว่นเป็นไม้ขนาดกลาง สูงประมาณ 5-10 เมตร มีหนามอยู่รอบลำต้นและ
กิ่ง ต้นอ่อนจะมีสีแดงแกมเขียว ลักษณะของใบเป็นใบประกอบ แต่ละใบจะมีใบย่อย 10-25
ใบ ช่อดอกเป็นช่อแบบกลุ่มย่อย มีสีขาวอมเทายาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร มีดอกตัวผู้
และดอกตัวเมียอยู่คนละต้น ผลมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.3-0.5 เซนติเมตร เปลือกของ
ผลสีเขียวเมื่อแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม ผลแก่จัดจะแตกออก เมล็ดกลมเรียบ เมื่อแก่
จัดจะมีสีดำเข้มเป็นมัน มีกลิ่นหอมฉุนคล้ายผักชี มีรสเผ็ดเล็กน้อย
ถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์
มะแขว่นพบทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยธรรมชาติพบขึ้นในป่าดิบแล้ง
หรือป่าดิบเขา
แหล่งผลิตมะแขว่น
เกษตรกรจะปลูกมะแขว่นสลับกับพืชสวนป่า คือปลูกร่วมกับพืชชนิดอื่นเพื่อ
เพิ่มรายได้ มะแขว่นมีการปลูกมากในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยาและ
น่าน แหล่งผลิตมะแขว่นที่มีคุณภาพ เช่น ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา
ตำบลดอยฮาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
ตำบลเมืองลี อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน และตำบลยอด อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
มะแขว่นเจริญเติบโตในที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 800-1,000 เมตร
ต้องการสภาพอากาศค่อนข้างเย็น ความชื้นในอากาศสูง เจริญเติบโตดีในสภาพกลางแจ้ง
ไม่ต้องการน้ำมากนัก ชอบดินที่ระบายน้ำได้ดี จึงควรปลูกตามไหล่เขา หรือพื้นที่สูงชัน
การผลิตมะแขว่น
การขยายพันธุ์
โดยทั่วไปการขยายพันธุ์มะแขว่นใช้วิธีเพาะเมล็ด โดยใช้เมล็ดแก่จัด และเป็น
เมล็ดสดที่ออกจากเปลือกใหม่ๆ ยังไม่แห้ง นำลงเพาะทันที โดยแช่ในน้ำอุ่นประมาณ 50
องศาเซลเซียส 5-10 นาที แล้วนำไปแช่ในน้ำเย็น 1 คืน เพื่อให้เปลือกนอกแตก และเป็น
การทำลายไขที่เคลือบเมล็ดออกด้วย เพื่อจะช่วยให้เมล็ด
สามารถงอกได้เร็วและได้ผลดีขึ้น หรืออาจนำเมล็ด
มะแขว่นสด มาขูดเอาส่วนของเนื้อหุ้มเมล็ดออกก่อนโดย
ใช้ทรายถู จากนั้นนำไปเพาะในกระบะทราย รดน้ำเป็น
ระยะ แต่อย่าให้น้ำขังมากเกินไปเป็นเวลาประมาณ 1-2
เดือน เมื่อต้นกล้างอกมีใบจริงและแข็งแรงดีแล้ว ย้ายลง
ปลูกในถุงเพาะชำ เพื่อเตรียมย้ายลงแปลงปลูกต่อไป กล้า
ที่เหมาะสมย้ายปลูกควรมีอายุ 3 เดือน ความสูงประมาณ
3-5 นิ้ว กล้าขนาดเล็กจะมีอัตราการรอดสูง ดังนั้นจึงควร
เพาะกล้าตั้งแต่เดือนมีนาคมเพื่อให้ทันปลูกในต้นฤดูฝน
การปลูกและดูแลรักษา
การย้ายปลูกควรทำในฤดูฝน หลุมปลูกต้องไม่ขังน้ำกล้าจะเน่าตายได้ ใช้
ระยะปลูก 4 X 4 เมตร จำนวน 100 ต้นต่อไร่ ในระยะแรกควรให้มะแขว่นเติบโตตาม
ธรรมชาติ การพรวนดินหรือการกำจัดวัชพืชต้องระมัดระวังอาจทำให้ระบบรากกระทบกระเทือน
เพราะรากมะแขว่นอยู่ระดับผิวดิน จึงอาจทำให้ต้นมะแขว่นตายหรือ ชะงักการเจริญเติบโตได้
TIP
ซวงเจีย หรือ Szechwan pepper
( ชื่ออื่น ๆ Chinese pepper, Japanese pepper, Aniseed pepper, Chinese prickly-ash,
Fagara, sansho, Nepal pepper, Indonesian lemon pepper)
พริกเสฉวน อยู่ในสกุล Zanthoxylum (ได้แก่ Z. piperitum และ Z. schinifolium) ปลูกและ
บริโภคกันอย่างแพร่หลายในเอเชียเป็นเครื่องเทศ มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอาหารของ
มณฑลเสฉวน ประเทศจีน รวมทั้งทิเบต, ภูฏาน, เนปาล, ญี่ปุ่น พริกเสฉวนมีกลิ่นและรสชาติเป็น
เอกลักษณ์ ชาวเฉิงตูมลฑลเสฉวนเรียกว่าพริกชา เพราะทานแล้วเกิดอาการชาที่ลิ้น นิยมนำไป
ใส่เป็นเครื่องปรุงอาหารเสฉวนเกือบทุกชนิด เช่น ผัด ซุป หรือแกงต่าง ๆ รวมไปถึงขนมขบเคี้ยว
กรุบกรอบ ที่ขายตามร้านสะดวกซื้อ หลายชนิดก็มีพริกเสฉวนเป็นส่วนประกอบ แม้แต่จำพวกปิ้ง
ย่าง และบดรวมกับพืชผักชนิดอื่น เป็นผงสำหรับโรยของทอด ของย่างเหล่านั้นเพื่อชูรส
วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ประโยชน์ของพริกเผ็ด
พูดถึง "พริก" ทุกคนจะนึกถึงความเผ็ด หลายคนชอบกินอาหารรสเผ็ด แต่หลายคนไม่ชอบ ผู้อ่านรู้หรือไม่ว่านอกจากความเผ็ดแล้ว "พริก" มีประโยชน์อย่างไร
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า พริก มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย โดยชาวโปรตุเกส สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น หรือ ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ "แคป ไซซิน" พริกยังมีสารสำคัญอีกหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก และแคลเซียม
คนที่กินพริกนานๆ จะทำให้ติดเผ็ด จากงานวิจัยที่ผ่านมา พบว่า คนไทยกินพริกมากที่สุดเฉลี่ย 5 กรัมต่อวัน หรือ ประมาณ 1 ช้อนชา
ประโยชน์ของพริกมีหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มสารแห่ง ความสุข คือ เอ็นโดรฟิน บรรเทาอาการ เจ็บปวด บรรเทา อาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณคอเรสเตอรอลจากงานวิจัยของญี่ปุ่น พบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกจะช่วยทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดกินพริกจะดี
การกินพริก ยังช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้แก่ คือ อินซูลิน มีรายงานว่า 30 นาทีหลังกินพริก อินซูลินจะไม่ขึ้นเลย พออินซูลินไม่ขึ้น ก็จะไม่ทำให้รู้สึกอยากหวาน นอกจากนี้วิตามินซีในพริก ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่า พริกยังช่วยในการสลายลิ่มเลือดด้วย
นอกจากการบริโภคแล้ว พริกยังถูกนำมาทำเป็นเจล ใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด
ส่วนที่หลายคนมีความเชื่อว่าการกินพริกมากๆ หรือ รับประทานอาหารรสเผ็ดจัด จะทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารนั้น นพ.กฤษดา บอกว่าสารในพริกมีฤทธิ์เป็นกรดก็จริง แต่พริก ไม่ได้ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร น่าจะมาจากการกินอาหารมัน ๆ มากกว่า เช่น ข้าวขาหมู กว่าจะย่อยต้องใช้เวลา 2-3 ชม. ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร
แต่การกินอาหารเผ็ดจัด อาจทำให้เกิดอาการ เหมือนคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะสารในพริกซึ่งเป็นกรด จะไปทำให้หลอดอาหารหดเกร็ง ทำให้รู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่
กรณีที่กินอาหารเผ็ดมากๆ วิธีแก้ คือ ต้องกินอาหารที่มันๆ เพราะสารแคปไซซิน จะละลายได้ดีในไขมัน แต่ละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเย็นจะไม่ช่วยทำให้หายเผ็ด ถ้าจะแก้เผ็ดต้องดื่มนม หรือ ไอศกรีม ทั้งนี้ ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่ใช้ความมันจากกะทิมาดับเผ็ด เห็นได้จากการทำแกงเขียวหวาน หรือแกงต่าง ๆ ที่ใส่กะทิ
ข้อควรระวัง คือ ในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัด จะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร ส่วนเด็กและคนแก่ ที่สำลักง่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะถ้าสำลักเข้าหลอดลม กรดอาจจะไปกัดหลอดลม ทำให้เกิดปัญหาหลอดลมหดเกร็ง ตีบ บวม หายใจไม่ออกได้
สรุปว่า การกินอาหารเผ็ด ๆ มีแต่ข้อดี แทบจะไม่มีข้อเสีย แต่ก็ควรระวังพริกป่น พริกซอง ที่อาจมีสารอะฟลาทอกซิน เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555
เมนู ยำกบเมือง จ้า
ยำกบ เป็นอาหารประเภทยำ ที่นำเอาส่วนผสมที่เป็นของที่สุกแล้ว ลงไปผสมกับเครื่องปรุง ถือเป็นอาหารชั้นดีชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับยำจิ๊นไก่ แต่ไม่นิยมทำเลี้ยงในงานบุญ หรืองานพิธี อาจะเป็นเพราะกบมีราคาแพง และหายากกว่าไก่ เครื่องปรุงมีมากกว่ายำจิ๊นไก่ เพื่อดับกลิ่นคาวของกบ ได้แก่ ข่า มะแขว่น เพิ่มตะไคร้ลงในเครื่องแกงด้วย บ้างนำพริกลาบ หรือเครื่องปรุงลาบ มาเป็นเครื่องปรุง (สิรวิชญ์ จำรัส, สัมภาษณ์, 15 พฤษภาคม 2550)

ที่สำคัญต้องใส่พริกลาบยายาจี๋คั่วน้ำมันก่อน
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
![]() |

| |||
|
แผนที่แสดงสถานที่ผลิตและจำหน่ายสินค้า
แผนที่สถานที่ผลิต พริกลาบ
นางศรี ปันทรส(ยายจี๋)
บ้านเลขที่ 454 ม.9 ต.เมืองพาน อ.พาน จ.เชียงราย
เบอร์โทรติดต่อ 053721623,0897004210
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)